การพัฒนาชุมชนให้เกิดผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้านในการร่วมมือกันทำงานพัฒนาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้วางไว้ ด้านผู้นำชุมชนต่างๆในชุมชน ก็เป็นสิ่งสำคัญมากอีกด้านหนึ่ง ถ้าชุมชนไหนมีผู้นำที่ไม่มีประสิทธิ์มีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนา ก็จะทำให้ชุมชนนั้นพัฒนาอย่างล่าช้า แต่ถ้าชุมชนใดมีผู้นำที่มีความรู้มีประสิทธิภาพในการทำงานพัฒนาก็จะทำให้ชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น แต่กว่าคนๆหนึ่งจะก้าวขึ้นมาพัฒนาชุมชนได้นั้น ต้องได้รับการไว้วางใจจากประชาชนในชุมชนเป็นอย่างมาก เรากำลังพูดถึงเรื่องราวของคุณปราโมทย์ ศรีวิสุทธิ์ ซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งท้องถิ่นจังหวัดกระบี่ กว่าท่านจะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในจุดๆนี้ มีอุปสรรคมากมายที่ขวางกั้นอยู่จนท่านประสบความสำเร็จได้อย่างปัจจุบันนี้
คุณปราโมทย์เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก ในชนบทเติบโตในชนบทเกิดอยู่บ้านนอกไม่มีไฟฟ้ามีน้ำประปา ชีวิตสัมผัสอยู่กับท้องไร่ท้องนา เรียนก็โรงเรียนวัด คนโรงเรียนวัดสมัยนั้น มีโอกาสน้อยมากอย่าว่าไปเรียนโรงเรียนในเมืองเลยแค่การได้ไปเที่ยวในเมืองเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันสำหรับเด็กและมีเด็กในชั้นเรียนด้วยกันมีไม่เยอะที่จะได้ไปเรียนอยู่ในเมืองได้ไปเที่ยวในเมืองมีน้อยมากแต่ว่าเราก็อาจจะโชคดีกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่งที่พ่อแม่เป็นคนค้าขาย ต้องไปชื้อของในเมืองเพราะได้ติดรถพ่อแม่ก็ได้เห็นโลกของในเมืองต่างกันกับชนบทเยอะมากซึ่งต่างกับสมัยนี้ความเป็นชนบทกับเมืองมันไม่ค่อยเห็นซึ่งความแตกต่าง เมื่อก่อนในเมืองมีพร้อมทุกอย่างมีถนนคอนกรีต มีถนนลาดยาง มีโรงหนัง มีไฟฟ้า ชนบทไม่มีอะไรเลย ไฟฟ้าไม่มี ประปาไม่มีนี่คือความเป็นชนบทแต่ว่าความเป็นชนบทตรงนั้นมันฝังอยู่ในสายเลือดว่าจะยังไงก็แล้วแต่ชีวิตมันจะไปเติบโตที่ไหน จะไปร่ำเรียนที่ไหน ไปทำงานที่ไหน เหมือนต้องหวนกลับมาสู่ชนบทบ้านเกิดที่เรามีความผูกพันแต่ตั้งเด็กชีวิต ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเรียนโรงเรียนวัดชนบทได้มีโอกาสไปสอบเข้าในโรงเรียนเบญจมราชูทิศใน มส.1 ซึ่งในตอนนั้นมีไม่กี่คนรู้จักโรงเรียนเบญจมราชูทิศได้รับคำบอกเล่าจากพี่ๆในเมืองโรงเรียนเบญจมราชูทิศมันเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราชก็มีความใฝ่ฝันว่าเราก็น่าจะไปเรียนได้แล้วก็ไปสอบเข้าในโรงเรียนเบญจมราชูทิศ มีความโชคดีการปรับตัวก็เรียนได้จนกระทั่งจบ มส.5และได้โอกาสเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงในคณะนิติศาสตร์หลังจากเรียนจบ พ่อแม่ทางบ้านมีฐานะระดับปานกลาง พอเรียนจบปริญญาตรีเราเองก็ควรหางานทำได้แล้วนับจากวันนี้ต่อไปสิ่งที่เราตั้งความหวังไว้ก็ต้องหางานทำให้ได้โดยไม่ขอเงินพ่อแม่แล้วยุคสมัยนั้น พ.ศ.2530 การหางานทำสมัยก่อนอินเทอร์เน็ตไม่มีเลยเราต้องก็ไปชื้อหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นไปสมัครทุกที่ที่เป็นวุฒิจบปริญญาตรี ไม่ว่าจะสมัครที่ไหนฝ่ายบุคคลก็บอกว่าคุณไปรอก่อนนะเดี๋ยวจะเรียกตัวไปแต่แล้วรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นที่ไหนเขาเรียกตัวไปแล้วเกิดความรู้สึกว่าส่วนใหญ่บริษัทจะถามคำถามแรกที่จะถามคือคุณมีประสบการณ์การทำงานอย่างไรบ้าง เราก็คิดในใจเรายังไม่เริ่มต้นทำงานทีแล้วเราจะมีประสบการณ์ได้อย่างไร ตอนนั้นไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงานเลย เลยตัดสินใจหาอาชีพอะไรก็ได้ก่อน อย่างน้อยชื้อข้าวกินมาจ่ายค่าเช่าที่อยู่ได้ก็พอแล้ว จึงไปสมัครเป็นพนักเสิร์ฟของห้องอาหารจังหวัดกรุงเทพมหานคร เป็นพนักงาน เสิร์ฟอยู่ประมาณ5-6เดือน ในระหว่างที่เป็นพนักงานเสิร์ฟเราก็สมัครงานอื่นต่อไปหลังจากทำงานพนักงานเสิร์ฟก็ได้สมัครงานเป็นกัปตันห้องอาหารก็ทำอยู่พักหนึ่งก็สมัครงานต่อ ตอนหลังก็ไปเป็นพนักงานขายเทปเพลง ทำอยู่ก็พักหนึ่งในระหว่างที่ทำงานก็อ่านหนังสือสมัครอื่น จนกระทั่งธนาคารเพื่อเกษตรสหกรณ์เขารับพนักงานสินเชื่อก็ได้ไปสมัครสอบ เป็นการสอบในหน่วยข้าราชการครั้งแรกด้วยความที่เราผ่านงานทั้งพนักงานเสิร์ฟ กัปตันห้องอาหาร พนักงานขายเทป มันเป็นแรงผลักดันให้เราต้องข้ามงานเหล่านี้ไปให้ได้ จึงเข้าสอบเป็นพนักงานสินเชื่อ ในระหว่างที่สอบเป็นพนักงานสินเชื่อ จังหวะนั้นก็กรมการปกครองรับสมัครสอบเป็นปลัดอำเภอก็ได้ไปสอบอีกก็ความเป็นโชคดีอีกสอบติดได้เป็นปลัดอำเภอแต่ระหว่างรอที่ปลัดอำเภอเรียกตัวทางธนาคารก็เรียกตัวไปบรรจุเป็นพนักงานและส่งตัวมาทำงานที่อำเภอนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำงานอยู่ประมาณ6เดือนกว่า อำเภอก็เรียกตัวไปบรรจุก็ลาออกจากงานเดิมไปบรรจุเป็นปลัดอำเภอครั้งแรกที่อำเภอกงหลา จังหวัดพัทลุงก็ถือว่าชีวิตข้าราชการเต็มตัวตั้งแต่ปี2533เป็นต้นมาก็เติบโตในสายงานข้าราชการเป็นปลัดอำเภอพอกระทั้งปี พ.ศ.2545 ได้โอนจากกรมการปกครองท้องถิ่น ก็มาเป็นท้องถิ่นอำเภอจนกระทั่งไต่เต้าจากท้องถิ่นอำเภอมาเป็นนิติกรของกรมก็ได้เลื่อนตำแหน่งก็มาเป็นท้องถิ่นจังหวัด ชีวิตข้าราชการพอสมควรแล้วแม้เราจะจบในสถาบันรามคำแหงที่เราจบมาถึงแม้รามคำแหงมันเป็นมหาวิทยาลัยถ้าดูชื่อเสียงชื่อชั้นจะสู้ จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์แต่ในการสอบแข่งขันผลที่สอบออกมาเราไม่เคยได้น้อยหน้าสถาบันดังๆเหล่านั้นเลยก็เกิดความภาคภูมิใจทั้งมหาลัยรามคำแหง สร้างบุคลากรให้มีคุณภาพได้
แรงบันดาลใจของคุณปราโมทย์ทำให้จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาสู่อาชีพปัจจุบัน จริงๆในความฝันเราในสมัยที่เราเป็นเด็ก การที่เราไปทำงานติดต่อราชการ ส่วนใหญ่ก็ไปที่อำเภอเพราะอำเภอมันมีหน้าที่ตั้งแต่ไปแจ้งเกิดมันเริ่มมีความสัมพันธ์กับชีวิตชาวบ้านในตลอดการที่เราไม่สัมผัสกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ เรามองว่าในยุคที่เราเด็ก มันมีความห่างระหว่างเราชาวบ้านกับข้าราชการ มันเหมือนกับว่าเราเข้าไปต้องมีความเกรงความกลัวมันมีช่องว่างเยอะอยู่เพราะเราก็บอกตัวเองว่า ทำไมคนเป็นข้าราชการถ้าดูจริงๆมันเป็นการรับใช้ประชาชนแต่ในความเป็นจริงๆมันไม่ใช่เพราะนั้นความรู้สึก ถ้าเราได้มีโอกาสไปนั่งทำงานตรงเจ้าหน้าที่คนนั้น ข้าราชการคนนั้น เราจะปฏิบัติตัวกับชาวบ้านคนละเรื่องกันกับที่เราได้รับมา ก่อนมารับราชการก็มีโอกาสได้ไปทำงานก็เชิงภาคเอกชนเป็นพนักงานของบริษัทแล้วมาเป็นรัฐวิสาหกิจแล้วก็ข้าราชการก็มีความแตกต่างกันแต่ล่ะสาขาอาชีพแต่ว่าไม่ใช้ภาคเอกชน ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคข้าราชการก็มีจุดเด่น จุดดี จุดด้อย และก็ไม่ใช้ว่าภาคเอกชนก็ดีทั้งหมด เพราะฉะนั้นมันต้องมองว่าเราเองผู้ปฎิบัติ ต้องปรับตัวแล้วเรียนรู้เอาสิ่งที่ดีในแต่ล่ะฝ่ายมาใช้เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกเอาใช้ภาคเอกชนที่มีจุดเด่น จุดดีแล้วมาใช้ภาคข้าราชการที่มีจุดด้อย นั่นและมันจะทำให้เป้าหมายการทำงานเดินไปสู่ความสำเร็จได้ง่าย
ทัศนคติของคุณปราโมทย์ที่จะพัฒนาชุมชน ถ้ากลับมาอยู่หมู่บ้าน ที่จะพัฒนาในชุมชน ค่อนข้างหายากที่มีผู้นำชุมชนเข้ามาแล้ว มองมันถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เหมือนว่าการทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อสังคม เพื่อสารประโยชน์ มันต้องใช้เวลา การทำสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ทำ 1ครั้ง 2 ครั้งแล้วคนจะยอมรับ จะชื่นชม มันอาจจะเป็นอุปนิสัยใจคอของคนไทยด้วยก็ได้ที่มักจะจดจำในสิ่งที่ไม่ดี หรือแง่ลบของคนมากกว่าสิ่งที่เขาทำคุณประโยชน์ทำความดีด้านบวก เพราะฉะนั้นการที่คนในชุมชนยอมรับมันต้องใช้ความอดทนสูงและมันต้องใช้เวลา
เส้นทางชีวิตของคุณปราโมทย์สอนอะไรบ้าง ถ้าชีวิตเริ่มต้นที่เอามาเล่าให้รุ่นลูก รุ่นหลานฟังว่าคนเราเส้นทางในการเข้าสู่ความสำเร็จมันไม่ได้ง่ายๆ อยู่ๆจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียวไม่ได้ มันต้องเริ่มต้นจากตำแหน่งเล็กๆจากความยากลำบากต้องใช้ความอดทนเริ่มต้นจากการเป็นผู้ให้บริการคนอื่นโดยการเป็นพนักงานเสิร์ฟ นี่ถ้าถามว่าตอนนั้นเรียนจบปริญญาตรีมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในยุคนั้นกลับไปปี พ.ศ.2528 ยุคนั้นคนจบปริญญาตรีในชนบทมีน้อยมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราไปหลงยึดติดกับการจบออกมาแล้วเราไปทำงานเด็กเสิร์ฟไม่ได้ นั่นคือความคิดเบื้องต้นก็ผิดแล้ว อยากบอกว่างานทุกงานมันสามารถมาสอนคนมาพัฒนาคนได้หมด ก็เริ่มต้น เป็นพนักงานเสิร์ฟ การเป็นพนักงานเสิร์ฟคนอื่นมองว่ามันเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยที่ถ้าลองมองอีกทีหนึ่งถ้าเราผ่านจุดนั้นการเป็นพนักงานเสิร์ฟเป็นการให้ผู้บริการอย่างดีนี่มันก็ติดตัว มันเรียกว่าถ้าเราเป็นข้าราชการให้บริการประชาชนอย่างดีเหมือนกับเราเป็นพนักงานเสิร์ฟนั้นความเป็นจุดเด่นเอามาใช้ได้
สิ่งที่คุณปราโมทย์อยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำในอนาคตอยากจะทำอะไร
สิ่งที่อยากทำแล้วก็ฝันคือการทำให้มันเป็นตัวอย่างแก่ชุมชน แก่สังคม ในการเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องคือสิ่งที่อยากทำ การแก้ไขที่ไม่ดีให้มันดีขึ้นได้มันเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่คนเราจะมีจุดด้อยจุดบกพร่อง แต่เราไม่ค่อยหันกลับไปมองว่าเรามีจุดด้อยของตัวเองแล้วแก้ไข นี่คือสิ่งที่ไปกระทบต่อคนอื่นไปกระทบต่อสังคม เรามาทำตรงนี้ ทำให้เป็นตัวอย่างของสังคมชุมชน การใช้คำพูด การโต้ตอบ มันไม่สำคัญเท่ากับทำให้เป็นตัวอย่าง
ฝากถึงคนทีอ่านบทสัมภาษณ์แล้วอยากยึดแนวทางของคุณปราโมทย์เป็นแบบอย่าง การไปเปลี่ยนแปลงคนอื่นมันเป็นเรื่องยากถ้าอยากที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีควรเริ่มจากเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนเพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเราเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด
การที่จะเป็นผู้นำชุมชนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ต้องคอยรับฟังปัญหาต่างที่เกิดขึ้นกับประชาชน ช่วยกันพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น เมื่อผู้นำดี ผู้ตามดี ก็จะช่วยให้พัฒนาสังคมไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
Comments