ชาวบ้านชุมชนบ้านในลุ่มอาศัยบนเกาะกลาง บริเวณปากน้ำสิชล หมู่ 3 ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้รับความเดือดร้อนจากการโดนนายทุนอ้างว่าได้บุกรุกพื้นที่ของนายทุนและได้มีการยื่นหนังสือฟ้องร้องต่อศาล ชาวบ้านจึงได้มีการยื่นหนังสือเพื่อขอความช่วยเหลือจากค่ายรบพิเศษสิชล เพื่อให้เข้ามาช่วยชาวบ้านในพื้นที่ ทางด้านค่ายรบพิเศษสิชลรับเรื่องจากชาวบ้านและเร่งประสานงานกับหน่วยงานรัฐอีกเจ็ดหน่วยงานเพื่อเข้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน
ชาวบ้านชุมชนบ้านในลุ่มอาศัยบนเกาะกลาง บริเวณปากน้ำสิชล หมู่ 3 ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเมื่อก่อนพื้นที่นี้เป็นป่าชายเลนป่าโกงกางพอมีชาวบ้านเข้ามาอยู่อาศัยก็ได้มีการทำลายลงไปบ้างและการสัญจรก็จะใช้เรือ เพราะใช้พื้นที่ทีน้ำหมด ชาวบ้านก็อยู่กันมาหลายๆรุ่นประมาณ 50 ปี เมื่อก่อนที่มาอยู่ใหม่ๆ จะมีป้ายป่าสงวนชายเลนแห่งชาติอยู่ใน พ.ศ.2524 พื้นที่ทั้งหมดจะเป็นเลนจะเป็นป่าตมทั้งหมด พอชาวบ้านเข้ามาอยู่หลายๆหลังรวมกันก็จะมีสะพานทอดต่อๆกันหลังต่อหลังเป็นทางเดิน เพื่อหนีน้ำจนตอนนี้มีชาวบ้านกว่า 300 คน 75 ครัวเรือน
ต่อมากรมเจ้าท่า ดูดทรายในลำคลองขึ้นมา แล้วนำทรายถมบริเวณใกล้เคียงโดยได้มีการขอรายชื่อของชาวบ้านเพื่อเนการยืนยันในการพัฒนาหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นกระทั่งได้ที่การเชื่อมต่อกับที่ดินของนายทุน โดยนายทุนอ้างเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ จนทำให้มีปัญหาความขัดแย้งส่งผลให้การดำเนินการร้องขอสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา ของชาวบ้านไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะนายทุนไม่ให้ผ่านเส้นทาง และได้มีการยื่นศาลฟ้องขับไล่ชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่ไปแล้วหนึ่งครั้ง ต่อมาอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ก่อนสรุปผลและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ล่าสุดชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำนวน 2 หลังคาเรือน โดนนายทุนยื่นฟ้องขับไล่อีกรอบทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน กระทั้งชาวบ้านมีการรวมตัวร้องขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษสิชล เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 60
วันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษสิชล ได้เชิญตัวแทนจากหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ จากเจ็ดหน่วยงานซึ่งประกอบด้วย นายวีระพรรณ สุขะวัลลิ ปลัดอาวุโสอำเภอสิชล พ.ต.อ.โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์ ผกก.สภ.สิชล นาวาโทรัชตะ ผกาฟุ้ง ผอ.กรมเจ้าท่า นายสมไชย เก้าเอี้ยน หัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 44 นครศรีธรรมราช สำนักงานที่ดินอำเภอสิชล เจ้าหน้าที่ป่าไม้อำเภอสิชล ผลสรุปคือจะมีการมาทำการรังวัดให้ชัดเจนว่าเขตพื้นที่ของนายทุนถึงไหนกันแน่ และเจ้าหน้าที่ก็ได้เข้ามาทำการรังวัดครั้งแรกในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่าพื้นที่ของนายทุนโดนบุกรุกแค่สองหลังแต่ครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็ไม่ยอมรับโฉนดใบนี้และได้ทำการยื่นคัดค้านทั้งหมู่บ้านและได้แนบเอกสารการถูกฟ้องร้องไปยังแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบหมายให้มณฑลทหารบกที่ 41 จัดเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญด้านที่ดินให้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ว่าโฉนดใบนี้ออกโดยชอบธรรมหรือไม่
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากมณฑลทหารบกที่ 41ได้ลงพื้นที่เข้าพูดคุยกับชาวบ้าน เพื่อช่วยชาวบ้านเร่งหาหลักฐานไปต่อสู้คดีกับนายทุน และได้สำรวจพื้นที่ภายในหมู่บ้านพบว่าในหมู่บ้านมีพื้นที่น้ำยังสามารถหนุนสูงขึ้นมาจากทะเลอยู่และในตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ ในตอนนี้ทางอำเภอจัดทำหนังสือไปยังกองกำลังรักษาความสงบของกองทัพภาคที่ 4 และชุดควบคุมของมณฑลทหารบกที่ 44 จังหวัดชุมพรเพื่อเข้ามาตรวจสอบว่าโฉนดใบนี้ออกผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าออกทับที่ของป่าสงวนหรือป่าชายเลนจริงก็ต้องมีกรฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนโฉนดใบนี้ออก
จ่าสิบเอกพรพิทักษ์ สิงธนบุรี เจ้าหน้าที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 4 ค่ายฝึกการรบพิเศษสิชล ได้กล่าวว่า “ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสืบหาพยานหลักฐานว่าที่ดินแปลงนี้สมัยก่อนเป็นป่าชายเลนตามที่ได้ข้อมูลจากชาวบ้านหรือไม่ ถ้าเป็นพื้นที่ป่าชายเลนและเป็นที่ที่น้ำท่วมถึงจริงแล้วมีต้นโกงกางอยู่จะถือว่าเป็นป่าชายเลนโดยอัตโนมัติโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องอยู่ในแผนที่ และตามกฎหมายแล้วจะไม่สามารถออกโฉนดได้ตามกฎหมายที่ดิน และสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าสมัยก่อนอาจจะเป็นป่าชายเลนและนำมาเป็นหลักฐานให้ชาวบ้านได้นั่นก็คือต้นโกงกางที่อยู่ในหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ ช่องโหว่ในตอนนี้คือนายทุนไม่รู้แนวเขตของเขาจริงๆ และที่ฟ้องร้องไปคือฟ้องแค่ 2 หลัง แต่ถ้าตามโฉนดที่มีปัญหาใบนั้นครอบคุลมทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นนายทุนก็ต้องฟ้องร้องทั้งหมู่บ้านไม่ใช่แค่สองหลัง”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้นัดสืบหลักฐานของทางฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย ยังไม่สรุปว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของใครกันแน่
Comentarios